ทั้งในฐานะนักเตะและคนคนหนึ่ง บิลล์ โฟล์คส คือผู้ที่แข็งแกร่ง เงียบขรึม และไม่ย่อท้อต่อหน้าที่การงานของเขา เขาเป็นกุญแจสำคัญในทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ตลอดระยะเวลาเกือบ 2 ทศวรรษของเขา โดยเป็นนักเตะที่ เซอร์ แมตต์ บัสบี้ ใช้งานมากที่สุดมากกว่าใครหน้าไหนตลอดการคุมทีมของเขา
แม้ว่าอาจจะไม่ได้เป็นที่กล่าวขวัญถึงเหมือนกับนักเตะพรสวรรค์อย่าง ดันแคน เอ็ดเวิร์ดส และสามแข้งศักดิ์สิทธิ์อย่าง บ็อบบี้ ชาร์ลตัน, เดนิส ลอว์ และ จอร์จ เบสต์ แต่ทีมของบัสบี้ในช่วงยุค 1950 และ 1960 ก็ต้องการกองหลังที่เหนียวแน่นแบบนี้ และโฟล์คสก็เป็นผู้ที่เข้ามาเติมเต็มในสิ่งนั้น
เขาไม่ค่อยได้ตกเป็นพาดหัวข่าวสักเท่าไหร่ แม้ว่าครั้งหนึ่งเขาจะเคยยิงประตูใส่เรอัล มาดริด พาทีมปีศาจแดงทะลุเข้าถึงรอบชิงชนะเลิศยูโรเปี้ยน คัพ มาแล้วก็ตาม กุนซือในถิ่นโอลด์ แทรฟฟอร์ด ทราบดีว่าจะใช้งานเขาเป็นส่วนหนึ่งในการผสมสานทีมชุดที่ยอดเยี่ยมได้อย่างไร และเขาก็เห็นคุณค่าเกินกว่าจะบรรยายออกมาได้ในตัวของอดีตคนงานเหมืองแร่ผู้นี้
ในช่วงที่คว้าแชมป์ลีก 2 สมัยแรกนั้น บิลล์ยังเป็นเพียงนักเตะหนุ่มที่ยังต้องเรียนรู้อะไรหลายอย่างในฐานะส่วนหนึ่งของทีมชุดบัสบี้ เบบส์ ในตำนาน ทั้งเขา และบัสบี้รอดชีวิตจากโศกนาฏกรรมที่มิวนิคในปี 1958 จากนั้นเขาก็เป็นหัวใจสำคัญพาทีมคว้าแชมป์ได้ในภายหลัง ทั้งเอฟเอ คัพ, แชมป์ลีก 2 สมัย รวมถึงความสำเร็จสูงสุดคือแชมป์ยูโรเปี้ยน คัพ 10 ปีหลังจากโศกนาฏกรรมในครั้งนั้น
ตลอดช่วงระยะเวลานั้น นักเตะผู้เงียบขรึมจากแลงคาเชียร์รายนี้ได้ทำลายสถิติลงเล่นมากที่สุดซึ่งเคยตกเป็นของ โจ สเปนซ์ มาแล้ว เขาทำให้หลายคนในสโมสรซึ่งไม่ชอบทักษะการเล่นบอลของเขาถึงกับตกตะลึง จากตอนที่เขาได้ลงเล่นแมตช์ทดสอบฝีเท้าที่วิทยาลัยเซนต์ เบดส์ สำนักงานใหญ่ของสมาคมฟุตบอลแลงคาเชียร์เมื่อปี 1950
อันที่จริงโฟล์คสก็ดูเหมือนจะสงสัยในความสามารถของตัวเองอยู่เหมือนกัน ตอนแรกเขาเสนอว่าขอเป็นแค่นักเตะพาร์ทไทม์เท่านั้นในช่วงที่ได้รับการเสนอสัญญามาเล่นในถิ่นโอลด์ แทรฟฟอร์ด ในปี 1951 นั่นเพราะเขายังเป็นห่วงงานหลักที่เล กรีน ซึ่งเป็นงานเกี่ยวกับถ่านหินอยู่นั่นเอง เขาทำงานที่นั่น 5 วันต่อสัปดาห์ โดยเขาจะมาซ้อมกับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในช่วงบ่ายของวันอังคาร และวันพฤหัสบดี
มันเป็นงานที่หนักไม่ใช่เล่นเลย แต่ว่าบิลล์ก็ตั้งใจทำมันเป็นอย่างดี ตอนที่เขาถูกเรียกตัวเข้าไปในห้องทำงานของ แมตต์ บัสบี้ เมื่อเดือนธันวาคม 1952 เพื่อรับการแจ้งว่าจะได้ลงประเดิมสนามในทีมชุดใหญ่ในตำแหน่งแบ็คขวาพบกับลิเวอร์พูลที่แอนฟิลด์ เขามีปัญหาอาการบาดเจ็บที่ข้อเท้าอยู่ แต่เขาก็ปกปิดเรื่องนี้เอาไว้เพราะไม่อยากให้โอกาสหลุดลอย แม้ในเกมดังกล่าวจะต้องรับมือกับปีกตัวทีมชาติสก็อตแลนด์อย่าง บิลลี่ ลิดเดลล์ ก็ตาม และเมื่อถึงตอนแข่ง ลิดเดลล์ก็ยิงประตูได้หลังจากเตะมา 10 นาที แต่โฟล์คสก็ไม่ได้ท้อถอย เขาต่อสู้กับความท้าทายนั้นจนพาทีมพลิกกลับมาชนะ 2-1 ทำให้เขาถูกส่งลงเล่นอีกในเกมถัดไป
หลังจากนั้นข้อเท้าของเขาก็บวมเป่งจนต้องพลาดการลงเล่นไปจนจบฤดูกาล แต่ในฤดูกาล 1953/54 เขาก็กลับมายึดตำแหน่งในทีมได้สำเร็จ โดยแย่งเสื้อหมายเลข 2 จาก ทอมมี่ แม็คนัลตี้ มาสวมใส่ลงสนามอย่างสม่ำเสมอ
ถือว่าโฟล์คสทำผลงานได้ดีให้กับทีมชุดเด็กหนุ่มของบัสบี้ ทั้งที่เขายังต้องใช้เวลาส่วนหนึ่งไปกับการทำงานเหมืองแร่อยู่ด้วย เขาได้รับการตอบแทนด้วยการติดทีมชาติอังกฤษครั้งแรก และครั้งเดียวของเขา เป็นเกมที่เจอกับไอร์แลนด์เหนือในเดือนตุลาคม 1954 หลังจากเสร็จงานกะของเขาที่เล กรีน เขาก็เดินทางไปสมทบกับเพื่อนร่วมทีมชาติที่กรุงเบลฟาสต์ จากนั้นก็ทำผลงานได้ตามมาตรฐานของเขาช่วยให้ทีมเอาชนะไป 2-0 ก่อนที่จะกลับมาใช้ชีวิต 2 ด้านของเขาต่อไป หากเป็นทุกวันนี้คงจะเป็นไปได้ยากทีเดียว
เขาเคยปฏิเสธคำขอร้องจากบัสบี้ที่อยากให้เขามาเป็นนักฟุตบอลแบบเต็มเวลา นั่นก็เพราะว่าเขามีรายได้จากการทำเหมืองแร่มากกว่าลงสนามนั่นเอง บิลล์มายอมตกลงในช่วงกลางทศวรรษนั้น ซึ่งเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่ทีมชุดเดอะ เบบส์ ได้ก้าวขึ้นมาสู่จุดสูงสุดกันแล้ว
การที่มีกัปตันอย่าง โรเจอร์ เบิร์น รวมถึงนักเตะเก่งๆ อย่างเช่น เอ็ดดี้ โคลแมน และ ดันแคน เอ็ดเวิร์ดส กับนักเตะในแนวรุกอย่าง ทอมมี่ เทย์เลอร์, เดนนิส ไวโอเล็ตต์ และ บิลลี่ วีแลน แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ก็สามารถคว้าแชมป์ลีกได้สำเร็จในฤดูกาล 1955/56 และ 1956/57 และไปพลาดท่าในนัดชิงชนะเลิศ เอฟเอ คัพ 1957 ต่อแอสตัน วิลล่า หลังจากที่เหลือผู้เล่นเพียงแค่ 10 เนื่องจาก เรย์ วู้ด ผู้รักษาประตูมีอาการบาดเจ็บ
นอกจากนี้แล้ว การที่มีบิลล์ลงเล่นเป็นแบ็คขวาโดยอัตโนมัติก็ช่วยให้ทีมประสบความสำเร็จในระดับยุโรปด้วย มีเพียงแค่เรอัล มาดริด ทีมเดียวเท่านั้นที่มาหยุดยั้งทีมปีศาจแดงได้ในรอบรองชนะเลิศยูโรเปี้ยน คัพ ในปี 1957 จากนั้นก็มาเข้าถึงรอบ 4 ทีมสุดท้ายได้อีกครั้งในเดือนกุมภาพันธ์ 1958
ถึงตรงนี้เหตุการณ์อันเลวร้ายก็ได้เข้ามาปกคลุมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เสียแล้ว
23 ชีวิตต้องสูญสิ้นไปในเหตุการณ์ที่มิวนิค รวมถึงนักเตะ 8 คน โดยมีอยู่ 2 คนที่ได้รับบาดเจ็บอย่างหนักจนไม่สามารถกลับมาเล่นได้อีก โฟล์คสตะเกียกตะกายออกมาจากซากปรักหักพังโดยที่ไม่ได้รับบาดเจ็บแต่อย่างใด แต่มันก็ได้กลายเป็นบาดแผลในจิตใจที่จะอยู่กับเขาไปตลอด เวลาผ่านไปไม่ถึง 2 สัปดาห์เขาก็กลับมาลงเล่นได้อีกครั้ง โดยเป็นกัปตันทีมให้กับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ชุดที่สร้างขึ้นมาใหม่ที่ลงเล่นด้วยสภาพจิตใจที่ย่ำแย่ แต่ท่ามกลางความเลวร้ายนั้น เขาก็ช่วยให้ทีมทะลุผ่านเข้าไปเล่นนัดชิงชนะเลิศเอฟเอ คัพ ได้ โดยไปแพ้ให้กับโบลตัน วันเดอเรอร์ส
หลังจากนั้น บัสบี้ซึ่งรอดชีวิตมาได้ก็ตัดสินใจว่าจะสร้างทีมของเขาขึ้นมาใหม่ แต่โฟล์คสขอสละปลอกแขนกัปตันทีม เพราะเขารู้สึกว่าตัวเองไม่พร้อมกับหน้าที่ตรงนี้ เขาถูกปรับให้ไปยืนเป็นตำแหน่งเซ็นเตอร์ฮาล์ฟที่เขาถนัด ซึ่งเขาก็เล่นได้ดีกว่าตอนถูกถ่างออกไปเล่นทางริมเส้นอย่างเห็นได้ชัด
เขาเล่นได้ดีขึ้นเพราะว่าไม่ต้องกังวลกับการต้องคอยพลิกตัวไปรับมือกับปีกจอมลีลาของทีมคู่แข่ง เขากลายเป็นนักเตะที่คอยหยุดเกมรุกฝั่งตรงข้าม ไร้เทียมทานในลูกกลางอากาศ แน่นอนในจังหวะเข้าแย่งบอล และอ่านเกมได้อย่างเฉลียวฉลาด
ด้วยบทบาทนี้เองที่เขาช่วยให้ทีมคว้าแชมป์เอฟเอ คัพ ได้ในปี 1963 และจากนั้นเขาก็ได้มายืนคู่กับ น็อบบี้ สไตล์ส เขาแทบไม่ค่อยพลาดการลงสนามเลยในช่วงที่ทีมคว้าแชมป์ลีกได้ในปี 1965 และ 1967
กับเรื่องที่ว่าทำไมเขาไม่เคยถูกเรียกตัวติดทีมชาติในฐานะกองหลังตัวกลางของทีมเลยก็เพราะว่าเขาได้กลายเป็นนักเตะตัวเก๋าไปแล้ว เขามีอายุตั้ง 30 กลางๆ แล้วในตอนที่เขาพาทีมคว้าแชมป์ลีกสมัยที่ 4 อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้มันก็ไม่ค่อยสมเหตุสมผลเท่าไหร่ เพราะว่าเขาก็ยังทำหน้าที่ได้ดีกับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด แถมเขายังประสบความสำเร็จยิ่งขึ้นไปอีกด้วยการพาทีมกลายเป็นสโมสรแรกจากอังกฤษที่คว้าแชมป์ยูโรเปี้ยน คัพ ได้ในปี 1968
แม้ว่าตัวเขาจะมีอาการบาดเจ็บหัวเข่ารบกวนจนถึงขั้นเลิกเล่นได้เลย แต่บิลล์ก็ยังอุตส่าห์ยืนหยัดในแผงหลังให้กับทีมเป็นส่วนใหญ่ในช่วงเวลานั้น และเขาก็ได้โอกาสเป็นฮีโร่ทำประตูในช่วงท้ายเกมให้กับทีมได้ด้วยในเกมรอบรองชนะเลิศ เลกสอง ที่สนามเบร์นาเบว ซึ่งนั่นถือเป็นเหตุการณ์ที่สร้างชื่อให้กับเขามากที่สุด
ในตอนนั้นสกอร์รวมยังเสมอกันอยู่ 3-3 จอร์จ เบสต์ ลากเลื้อยทางริมเส้นฝั่งขวา ก่อนที่จะตบเข้ากรอบเขตโทษ คนที่น่าจะยิงได้นั้นมีทั้ง บ็อบบี้ ชาร์ลตัน, ไบรอัน คิดด์ และอาจรวมถึง จอห์นนี่ แอสตัน อีกคนด้วยก็ได้ที่เสาไกล แต่สุดท้ายก็กลายเป็นบิลล์ที่ปกติจะไม่ค่อยทิ้งพื้นที่ของตัวเองเติมขึ้นมา เขายิงประตูเจ้าถิ่นได้อย่างสุดยอด ชนิดที่ว่านักเตะที่ไม่ได้ลงเล่นในวันนั้นอย่าง เดนิส ลอว์ อาจจะยิงสวยไม่ได้เท่านี้เลยด้วยซ้ำ
เหตุการณ์ยังสุดยอดไปกว่านั้นอีกในนัดชิงชนะเลิศกับเบนฟิก้าที่เวมบลีย์ เมื่อนักเตะวัย 36 ปีได้งัดฟอร์มสุดยอดนัดหนึ่งของเขาออกมาด้วยการสยบกองหน้าตัวเป้าชาวโปรตุเกสอย่าง โชเซ่ ตอร์เรส ซึ่งเอาแต่บ่นกับผู้ตัดสินว่าบิลล์ทำให้เขาได้แผลทุกครั้งที่มีจังหวะเข้าปะทะกัน อันที่จริงแล้ว ตอร์เรสก็มีโอกาสหลุดไปครึ่งหนึ่งจนทำให้เบนฟิก้าได้ประตูตีเสมอในช่วงท้ายเกม แต่สุดท้ายแล้วฮีโร่อย่างโฟล์คสก็เป็นฝ่ายที่ได้เฮ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด กระหน่ำยิงในช่วงต่อเวลาพิเศษเอาชนะไปได้ 4-1
หลังจากนั้น บิลล์ก็ได้ลงเล่นให้กับทีมชุดใหญ่อีกไม่มากนัก เขายอมหลีกทางให้กับนักเตะหนุ่มหน้าใหม่ที่พร้อมจะก้าวขึ้นมาทำหน้าที่แทนเขา ก่อนที่เขาจะผันตัวไปมุ่งมั่นกับอาชีพโค้ชแทน เขาทำหน้าที่ตรงนี้ในถิ่นโอลด์ แทรฟฟอร์ด เป็นที่แรก จากนั้นก็ไปประสบความสำเร็จที่สหรัฐอเมริกา, นอร์เวย์ และญี่ปุ่น
บิลล์ โฟล์คส ยอดนักเตะผู้ไม่ค่อยชอบเข้าสังคมอาจจะไม่ได้ถูกใครต่อใครพูดถึงมากนัก แต่ด้วยความจงรักภักดีของเขา การอุทิศตนอย่างเต็มที่ และความเป็นมืออาชีพ ทำให้เขาได้กลายเป็นผู้ชนะอย่างแท้จริง
SiR KeaNo
2001-2024 RED ARMY FANCLUB Official Manchester United Supporters Club of Thailand. #ThaiMUSC